วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รอยจูบทำนายรัก


รอยจูบทำนายรัก
หน้าผาก
คุณเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รักสันติ ชอบที่จะให้อภัยคนอื่น และต้องการความนับถือจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน คุณมีความสามารถพิเศษในการที่จะแสดงออกเป็นอย่างดี และเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมาก คนหนึ่ง ดังนั้น คุณจึงสามารถมีชีวิตที่จะประสบ ผลสำเร็จในสังคมได้ และบรรดาเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบกายคุณจะมองว่าคุณเป็นคนที่สุภาพและสามารถเข้าใจพวกเขาได้ เป็นอย่างดี
เปลือกตา
คุณเป็นโรมิโอที่หัวดื้อที่สุด ผู้ซึ่งต้องการที่จะรักมาก และคุณสามารถที่จะสละทุกสิ่งได้เพื่อ ความรัก ความรักของคุณจะแสดงออกมาในรูปแบบของความป่าเถื่อนและรุนแรง จนถึงกับกลายเป็นนักรักที่ดุร้าย ทำให้บางครั้งคนรักของคุณอาจมองว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว
ปลายจมูก
ในเรื่องของความสัมพันธ์ SEX ค่อนข้างที่จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณคุณให้ความสำคัญต่อมิตรภาพความซื่อ สัตย์ และมีความรารถนาอย่างรุนแรง ในเรื่องของ ความรักและ SEX คุณเป็นคนสนุกสนาน และไม่ใช่คนอดทนพอ ที่จะพักอยู่เป็นเวลานานในที่ที่คุณปราศจากความ สบาย ดังนั้น จึงเป็นการยากที่คุณจะสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพหรือการดำเนินชีวิตของคุณ และมันจะเป็นการชี้นำว่า คุณไม่สามารถเปลี่ยนงานที่คุณทำอยู่ได้ หากปราศจากเหตุผลอันหนักแน่นเพียงพอ
ใบหน้า
คุณให้ความสำคัญกับสันติภาพอยู่เหนือสิ่งใดและเหล่าเพื่อนๆ ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่าง มากต่อคุณ คุณยินดีที่จะแบ่งปันรางวัลทั้งหมดของคุณแก่เหล่าเพื่อน และคุณเป็นคนที่ไม่หงุดหงิดง่าย ๆ ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย คุณเป็นคนใจดี อีกทั้งยังไม่เก็บเรื่องแย่ ๆ ของคนอื่นมาครุ่นคิด ดังนั้น คุณจึงมีความสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ด้านความรักและความเมตตาเอาไว้ได้ ยาวนาน
ใบหู
คุณสามารถเดาใจของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ คุณจึงสามารถเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี คุณมีอารมณ์ที่จะชื่นชมหรือมีส่วนร่วมกับความรู้สึกและความนึกคิดของผู้อื่น อย่างไรก็ดี คุณก็สามารถที่ทำให้เกิดเรื่องตลกขึ้นได้โดยร่วมกับผู้อื่น เพื่อที่จะบรรลุจุดมุ่งหมาย คุณก็พร้อมที่จะเสียสละให้แก่ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย และเพื่อทีจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี คุณจะมีการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกอันไร้เหตุผล พฤติกรรมของคุณจึงเกี่ยวพันสอดคล้อง กับความรู้สึกภายในของคุณอย่างชัดเจน 100%
ริมฝีปาก
คุณเป็นคนหนึ่งที่มีความซื่อสัตย์มาก เมื่อคุณได้จุมพิตริมฝีปากของใครคนหนึ่ง คุณได้แสดงออกอย่างแน่นอนถึงความหวังของการมีรักแท้ ราวกับมีการเปล่งประกายแสงออราของความเชื่อมั่น คุณเป็นคนหนึ่งที่มีหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่เข้มงวด
ช่วงคอ
ธรรมชาติความรักของคุณ คุณไม่ได้เป็นคนที่ฝันถึงเรื่องความรักชั่วนิจนิรันดร แม้ว่าความรู้สึก ในการเป็นเจ้าของในสิ่งต่าง ๆ ของคุณจะมีมากก็ตาม แต่มันก็จะจางหายไปใน ชั่วเวลาหนึ่ง แม้ว่าคุณจะไม่ได้รักคนรักของคุณแล้ว แต่คุณก็มีความเห็นแก่ตัว ต้องการให้คนรักของคุณยัง คงรักคุณอยู่ คุณไม่ใคร่มีความกระตือรือร้นมากเท่าใดนักต่อชีวิตของคุณเอง และไม่ได้มีอะไรพิเศษ

15 วิธีบำบัดอาการอกหักด้วยตนเอง


15 วิธีบำบัดอาการอกหักด้วยตนเอง
อกหัก เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด ผู้หญิงหลาย ๆ คนก็เลยจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับการสิ้นสุดความสัมพันธ์เมื่อคนรักมาตีจากแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้าน ประชดแฟน เผื่อเขาจะตามมาง้อ บางคนก็ทำร้ายตัวเอง เขาจะได้สงสารกลับมาดูแลเราอีก บางคนประชดด้วยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นั่นไม่เพียงแต่ทำให้เขาไม่กลับมา ซ้ำร้ายเรายังหาคนใหม่ไม่ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาไม่ดึงดูดซะแล้ว
อันที่จริงเมื่อคนรักตีจาก นั่นหมายถึงว่า เขาอาจจะใช้ความอดทนอย่างสุด ๆ และรวบรวมความกล้าอย่างมากมาย ในการที่จะบอกเลิกลากับเราแล้ว เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น การมานั่งคอยห้วยหวังว่าเขาจะกลับมาอีก คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้น้อยเต็มทน หรือถ้าเขากลับมาจริง คุณทั้งคู่ก็อาจจะต้องมาอยู่กับความรู้สึกเหมือนมีแผลอยู่ในใจ ลบยังไงก็ไม่หมด บางคนถึงกับหวาดระแวงพฤติกรรมของคนรักไปตลอดเลยก็มี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อคุณประสบกับอาการอกหัก สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการใช้ความรุนแรง ลองมาใช้วิธีการที่จะแนะนำต่อไปนี้ในการปรับอารมณ์ และปรับตัวปรับใจของคุณจะดีกว่า
1. ใช้เวลาของคุณให้เพลิดเพลินไปกับการ Shopping หาสถานที่ซึ่งคุณสามารถจะซื้อข้าวของเพื่อมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่สดใสกว่าเดิม คุณอาจจะหาเพื่อนไปด้วยสักคนหรือสองคน เพื่อให้ช่วยกันออกความเห็นในการสร้างบุคลิกใหม่ ที่น่าดึงดูดใจให้กับคุณได้ด้วย งานนี้ต้องลงทุนกันหน่อย
2. เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ออกไปจากสถานที่เก่า ๆ นี้ซะ บางคนอาจจะถือโอกาสลาพักร้อนไปพักผ่อนไกล ๆ จะได้ไม่ต้องมานึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ในสถานที่เดิม ๆ อีก แต่อย่าลืมชวนเพื่อนสนิทของคุณไปด้วยละ
3. ไปออกกำลังกายเพื่อให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้น ก็น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ อย่างน้อย ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้เริ่มทำอะไรใหม่ ๆ อาจจะถือเป็นงานอดิเรกใหม่ ๆ หรือการเล่นกีฬาอะไรเป็นประจำ เช่นตีแบต ตีกอล์ฟ เล่นกีฬาทางน้ำ หรือบางคนอาจจะไปชกมวยเลยก็ได้ โอกาสนี้ ยังอาจทำให้คุณได้พบเพื่อน(ชาย) ใหม่ ๆ ด้วย
4. ตามใจตัวเอง ด้วยการไปอบไอน้ำ นอนแช่อ่างจากุชี่ อย่าไปคิดว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องเสียเวลา เพราะอย่างน้อย มันจะทำให้คุณรู้สึกสบายตัว และมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
5. ถ้าคุณอยากร้องไห้ ก็ร้องไปให้เต็มที่เลย คุณอาจจะจัดงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ขึ้นมาสักงานหนึ่ง เพื่อที่จะสลัดความน่าสงสารของคุณออกไป และถ้าคุณเกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาในระหว่างนั้นละก็ ร้องให้เต็มที่เลย ซื่อสัตย์กับตัวเอง เชื่อเถอะ หลังจากนั้น คุณจะรู้สึกดีขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะนึกขำกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
6. จดจำความรู้สึกที่เลวร้าย ไม่ใช่นั่งคิดถึงเรื่องโรแมนติกของคนที่ตีจากคุณไป โดยคุณอาจจะนั่งลิสต์รายการออกมาเลยก็ได้ว่า คนรักเก่าของคุณ ได้กระทำอะไรที่ไม่น่ารักลงไปบ้าง แล้วรวบรวมมันออกมาเป็นเหตุผล ที่คุณจะบอกกบตัวเองได้ว่า นี่แหละ ทำให้ฉันไม่มีวันกลับไปนึกถึงคน ๆ นี้อีก
7. อะไรที่เป็นอนุสรณ์ของความรักเก่า ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย จดหมายรัก หรือตั๋วชมคอนเสิร์ตอันแสนโรแมนติก ทำลายมันซะให้หมด จะได้ไม่ต้องหยิบมาดูให้ช้ำใจอีกต่อไป
8. หยุดการออก Date ไว้ชั่วคราว ทำตัวเองให้ปลอดความเคยชินกับการไปไหนมาไหนเป็นคู่สักพักหนึ่ง คุณอาจจะแพคกระเป๋าใส่หลัง แล้วไปหากิจกรรมอื่น ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ใส่ความรู้สึกที่ว่า ไม่มีอะไรจะมาหยุดคุณได้ หรือใครใจกล้า ๆ อาจจะไป Bungee Jump ดูบ้างก็ได้
9. อย่าไปคิดว่าช๊อกโกแล็ต เป็นสัญญาลักษณ์แห่งความรัก ถ้าคุณคิดจะรับประทานมันเข้าไป ก็ให้คิดซะว่ามันเป็นขนมแสนอร่อย คุณอาจจะลองตามใจตัวเองในเรื่องของอาหารการกินบ้างก็ได้ เช่นเมื่อรับประทานอาหารมือค่ำแล้ว อาจจะตามด้วยของหวานที่คุณโปรดปราน เพราะตอนนี้ไม่มีใครจะมาคอยห้ามคุณแล้ว แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องไขมันส่วนเกินเอาไว้บ้างนะ
10. ออกไปเต้นรำให้สุดเหวี่ยง โชว์ลีลานักเต้นคุณออกมาให้เต็มที่ อาจจะช่วยปลดปล่อยคามรู้สึกเศร้าสูญเสียของคุณลงไปได้บ้าง หรือคุณอาจจะลองไปเต้นรำในบรรยากาศแบบแปลก ๆ อย่างคาวบอยดูบ้างก็ไม่เลวทีเดียว
11. หาเวลาออกไปเที่ยวนอกเมือง โดยคุณอาจจะหาเพื่อนทั้งชายทั้งหญิงกลุ่มใหญ่ไปด้วยกันสักกลุ่ม เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
12. เมื่อคุณปรับเปลี่ยนบรรยากาศมาจนพอสมควรแล้ว ก็ต้องกลับมาเผชิญความจริง โดยคราวนี้ คุณอาจจะพร้อมแล้วสำหรับการออก Date ครั้งใหม่ แต่ก็อย่าลืมใช้เวลาในการเรียนรู้กันให้มากก่อนที่จะไปปักใจรักเขาเขาเหมือนกับคนที่แล้วล่ะ
13. หาความรู้ที่สูงขึ้นมาใส่ตัว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองมีค่ามากขึ้น โดยอาจจะไปสมัครเรียนถ่ายภาพ ปีนเขา หรือเข้าอบรมคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ ทำตัวของคุณเองให้ยุ่ง ๆ เข้าไว้ และอีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีใครดี ๆ ที่คุณจะได้พบในระหว่างการไปเรียนรู้หรือเข้ารับการอบรมนี้ก็ได้
14. หาสัตว์เลี้ยงที่มีความซื้อสัตย์กับคุณมาเลี้ยง ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว
15. อย่าลืมว่า ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก อย่างที่ฝรั่งเขาชอบพูดว่า “There’s plenty of fish in the sea” คนไทยว่า “อกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น”
แล้วเมื่อคุณอยู่ในอารมณ์อกหัก เคยทำอย่าง 15 ข้อนี้บ้างรึเปล่าคะ

วิธีการฝึกให้ตื่นเช้า


                           วิธีการฝึกให้ตื่นเช้า

1.ช้าๆได้พร้าเล่มงาม อย่าเปลี่ยนเวลานอนอย่างฮวบฮาบ ลองตื่นให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสัก 15 นาที เป็นเวลา 2-3 วันก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยตื่นให้เร็วขึ้นอีก 15 นาที ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถตื่นได้ตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้
2.นอนให้เร็วกว่าเดิมสักนิด หลายๆคนคงจะชินกับการนอนดึกๆ เนื่องจากติดทีวี หรือไม่ก็ติดอินเตอร์เน็ต แต่การกระทำเช่นนี้ควบคู่ไปกับการตื่นเช้ากว่าเดิม จะทำให้ไม่ไหว สุดท้าย อาจจะถึงขั้นต้องกลับไปเริ่มต้นฝึกตื่นเช้ากันใหม่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ง่วง ผมขอแนะนำให้ลองเข้านอนไปก่อน และถ้ายังไม่หลับ ก็ให้อ่านหนังสือไปด้วยเลย แล้วคุณจะพบว่ามันช่วยให้หลับง่ายขึ้นเยอะ
3.ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไกลๆ ถ้าวางนาฬิกาปลุกไว้ใกล้ๆ เวลามันดัง เราก็จะปิดมันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเราลองวางไว้ให้ไกลจากเตียงสักหน่อย เราก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปกดปุ่มปิด ในเมื่อลุกขึ้นมาแล้ว คนส่วนใหญ่ก็คงไม่คิดจะกลับไปนอนอีก (อาจจะมีข้อยกเว้นนะครับ)
4.ออกจากห้องนอนให้เร็วที่สุดหลังจากปิดนาฬิกาปลุกแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวคุณเริ่มคิดได้ว่า \”เออ! ไปนอนดีกว่า\” โดยส่วนตัวแล้ว ต่อให้ต้องคลาน ผมก็จะทำและควรจะทำให้มันเป็นอัตโนมัติซะ ผมจะรีบออกจากห้องนอนแล้วไปเข้าห้องน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เรียบร้อย ผมก็จะพบว่าตัวเองได้ตื่นเต็มที่เรียบร้อย
5.หาเหตุผลดีๆสักข้อ กำหนดอะไรบางอย่างสำคัญๆที่จะต้องทำในเวลาพิเศษที่ได้รับ มันจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นจากเตียงได้ โดยส่วนตัวแล้ว เหตุผลของการตื่นนอนเช้าๆของผม คือ การได้ใช้เวลาเขียนหนังสือ และเท่าที่ผ่านมา มันทำให้ผมตื่นเช้าได้ทุกวันเลยทีเดียว
6.ใช้เวลาที่ได้รับเพิ่มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าใช้เวลาที่เยอะแยะนี้ทำอะไรแค่อย่างเดียว หลังจากนั้นก็นั่งอยู่เฉยๆ (ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี) เพราะมันจะทำให้กลับไปนอนอีกครั้ง ตัวผมเอง นอกจากจะเขียนหนังสือแล้ว ผมยังใช้เวลาในตอนเช้าวางแผนสิ่งที่ผมคิดจะทำในวันนี้ เตรียมอาหารให้ลูกๆ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ฯลฯ หลังจากที่ตื่นมาจนถึง 6 โมงครึ่ง ผมได้ใช้เวลาทำอะไรเยอะแยะมากมายมากกว่าตัวผมในอดีต (ตอนที่ยังตื่นสาย) ใช้เวลาทำงานทั้งวันซะอีก
7.ให้รางวัลตัวเองกับการตื่นนอนตอนเช้า ตอนแรกๆ มันอาจจะดุเหมือนกับว่าการตื่นเช้าเป็นการบังคับตัวเองให้ทำอะไรที่ยากแสนยาก แต่มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป ถ้าเรากำหนดรางวัลให้กับความพยายามนี้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนอาจจะได้ใช้เวลานี้อ่านนิยายที่ตัวเองชอบ บางคนอาจจะได้ใช้เวลานี้ทำอาหารเช้าระดับพระราชาให้ตัวเอง บางคนอาจจะใช้เวลานี้นั่งสมาธิ ไม่นานหรอกครับ การตื่นเช้าก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันได้อย่างสบายๆ

วิธีสร้างสุข ปลดทุกข์รับปีใหม่


     วิธีสร้างสุข ปลดทุกข์รับปีใหม่

หากความทุกข์ เป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่ง ที่อยู่ในมือของเรา และเพียงแค่เราแบมือออกมา แล้วปล่อยทิ้งลงไป ก็สามารถปล่อยวางความทุกข์ ลงได้ โลกเรานี้คงจะไม่มีความทุกข์ .. ชีวิตของทุก ๆ คนคงจะมีแต่ความสุข ไม่มีความเร่งรีบ หรือความวิตกกังวลใจ อันจะเป็นหนทางนำร่างกาย และสุขภาพจิตไปในทางที่ย่ำแย่ ถึงแม้เราจะไม่สามารถปลดปล่อยความทุกข์ไปได้ 100% แต่เราก็มีวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณมีความสุขกายสบายใจมาฝาก ทำได้ไม่ยากเลยลองมาเริ่มกันเถอะ..
หาพระเอกในดวงใจ
การมีคนประทับใจ เอาไว้เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต จะช่วยให้เรามีกำลังใจ เดินไปในทางที่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่ควรที่จะยึดคน ๆ นั้นไว้เป็นแบบอย่างแค่คนเดียว เพราะคนๆ หนึ่งอาจมีข้อดีและข้อด้อยได้ ซึ่งบางครั้งเราเจอเหตุการณ์หนึ่งอาจนึกถึงคนหนึ่ง แต่กับอีก เหตุการณ์ ก็จะนึกถึงอีกคน โดยดูว่าเขามีวิธีรับสถานการณ์นั้นๆ อย่างไร แต่คุณไม่ควรลืมว่าแต่ละคนก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
หาแรงบันดาลใจ
การมีแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กน้อย ก็อาจเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยง และเติมความสุขให้แก่ชีวิตคนบาง คนให้อยู่ได้ยาวนานเลยทีเดียว ซึ่งแรงบันดาลใจในที่นี้ อาจใช้เพียงเสียงเพลงที่ชอบ คำพูดที่น่าประทับใจ จะเป็นอะไรก็ได้ที่ให้กำลังใจเรา ในการดำเนินชีวิต
ค้นหาความหมายของชีวิต
บางครั้งคุณอาจเกิดคำถาม ที่มาพร้อมความสงสัยในตัวเองว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ การค้นหาความหมายของชีวิต จะช่วยทำให้คุณมีความสุข ซึ่งความสุขที่ได้นั้นเกิดจากการที่คุณรู้ว่า เป้าหมายของชีวิตคืออะไร
ทำใจกับสิ่งที่แตกต่าง
บางคนเป็นคนที่ต้องสร้างกฎเกณฑ์ ให้กับตัวเอง พอพบเจอสิ่งที่เป็นเรื่องแปลกก็ไม่ยอมรับ ซึ่งอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่รอบๆ ตัวเราจะ มีสิ่งที่ขัดความรู้สึก จนพาลทำให้ขาดความสุข เป็นอันว่าคุณควรจะพยายามที่จะชื่นชมกับความต่างเหล่านั้นดูบ้าง จะช่วยให้ความเครียด ลดลงได้ ลองหัดยอมรับความแตกต่างดูบ้างจะทำให้ช่องว่างลดลง ปัญหาก็ไม่เกิดแต่สิ่งที่เกิดคือความเข้ากันได้ คือความสุข
ช่วยเหลือคนอื่น
สมัยนี้ การช่วยเหลือคนอื่นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถจะทำให้คุณมีความสุขได้ เพราะการช่วยเหลือจะส่งผลให้มีความสุขอันเกิดจากการให้ และยังจะทำให้อีกชีวิตหนึ่งมีความหมายมากขึ้นนั่นเรียกว่า ความสุขในอีกมุมหนึ่ง
นวดผ่อนคลาย
การนวดเพื่อคลายเครียดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งๆ ละ 30 นาที จะทำให้ร่างกายสดชื่นเกิดความสุขได้ ช่วยผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี เช่น การนั่งทำงานนานๆ หรือ ยืนนานๆ จะทำให้เกิดการกดทับ เกิดความไม่สบายตัว จนอาจส่งผลต่อ อารมณ์อย่างแน่นอน ปัจจุบันนี้ สถานที่ซึ่งให้บริการนวดก็มีมากมาย คุณสามารถเลือกรูปแบบบริการที่ต้องการ หรือจะใช้การนวดเพื่อช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยผลัดเปลี่ยนกันนวดผ่อนคลายก็ยิ่งดี
การออกกำลังกาย
เลือกออกกำลังกาย ตามความถนัดของแต่ละคน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ถือว่าได้ผลที่สุด ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเข้าฟิตเนสก็ได้ โดยอาจใช้วิธีเดินเล่น ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลงลิฟท์ วิ่งเหยาะ ๆ ในสวนสาธารณะเปลี่ยนบรรยากาศ หรืออาจตรวจดูตัวเองว่าส่วนไหนเริ่มแย่ เริ่มย้อย ก็รีบออกกำลังกายเน้นเฉพาะส่วนนั้นมากขึ้น จะได้ใส่เสื้อผ้าให้ดูดีขึ้น เท่านี้คุณก็มีความสุขมากขึ้นได้ ผลการวิจัยพบว่าการสร้างความตื่นตัวให้กับร่ายกายและจิตใจ โดยการออกกำลังกายหรือขยับร่างกายนั้นจะส่งให้ระบบเส้นประสาทที่ชื่อว่า Norepinephrine ทำงานได้ดี ช่วยให้คนเรามีความสุขมากขึ้น
บริหารสมอง
การจัดระบบความนึกคิดของเราให้เป็นไปในทางบวกเป็นอีกแนวทางในการบริหารสมอง คือมองหรือคิดในแง่ดี และวิธีนี้จะช่วยให้ สบายใจลดความวิตกกังวลลงได้เป็นดี ความผิดพลาดหรือความกลัวที่จะเกิดจากความผิดพลาด หรือความกลัวที่จะล้มเหลว จะเห็นได้ว่า ความคิดในแง่ร้ายจะไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ความสุขก็หมดไปด้วย
แกล้งทำตัวเป็นเด็กๆ บ้าง
การได้กลับไปเป็นเด็กก็คงมีความสุขไม่น้อย เรื่องที่เรานึกถึงสมัยเป็นเด็ก บางครั้งแค่คิด ความสุขก็กลับมาเยือนอีกครั้ง เช่น เมื่อเป็น เด็กไม่เคยได้เล่นน้ำคลองแบบเด็กๆ ข้างบ้านอื่นๆ เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาคอยดูแล พอมาวันนี้นึกสนุก วิ่งไปโดดน้ำคลองแล้วเล่นน้ำให้สะใจ ไม่ต้องกลัวใครว่า ซึ่งความต้องการในวัยเด็กมักจะสะท้อนความต้องการลึกๆ ที่เป็นตัวตนของเรานั่นเอง ฉะนั้นลองทำตัวเป็นเด็กดูซิ
หัวเราะวันละนิด
หัวเราะวันละนิด ชีวิตสดใส การหัวเราะมากขึ้นจะทำให้ช่วยลดความเครียด ลดความดันเลือด อีกทั้งจะช่วยให้สุขภาพ โดยรวมแข็งแรงมากขึ้น จะเห็นได้ว่า คนที่มีความสุขมักจะมีสีหน้าแช่มชื่น ยิ้ม และหัวเราะ ซึ่งการหัวเราะอาจกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความสุขไปเลย หากลองมานับดูว่าวันนี้หัวเราะไปกี่ครั้ง ถ้ายังไม่มากพอ ลองหาวิธีกระตุ้นเสียงหัวเราะคุณดู…รับรองว่าได้ความสุขคุ้ม

5 วิธีง่าย ๆ คืนสุขภาพดีรับปีใหม่



5 วิธีง่าย ๆ คืนสุขภาพดีรับปีใหม่
สุขภาพดี

5 วิธีง่าย ๆ คืนสุขภาพดีรับปีใหม่ (ไทยรัฐ)

          ผ่านไปไวเหมือนโกหกจริง ๆ สำหรับวันเวลาแห่งความสุขและน่าจดจำ สำหรับวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เชื่อว่าในโอกาสดี ๆ แบบนี้หลายคนอาจได้ตักตวงประสบการณ์และความสุขความทรงจำที่ดี ๆ กลับมาเพียบ แต่จะสุขปานใด ก็ต้องไม่ลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอด้วยล่ะ

          วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มีเคล็ดลับดี ๆในการช่วยให้หุ่นสวยกลับมาฟิตแอนด์เฟิร์มเหมือนเดิมอีกครั้ง เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

1.เช็คอัพร่างกายกันก่อน

          บางครั้งเพื่อข้อมูลที่ถูกต้อง และเพื่อทำความรู้จักกับร่างกายตัวเองอย่างแท้จริง คุณอาจต้องลงทุนไปพบแพทย์ เพื่อเช็คสภาพร่างกายของคุณ ไม่ว่าจะเป็นระดับคอลเรสเตอรอล ความดันเลือด และดัชนีมวลกาย เพื่อใช้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวนำทางเพื่อสำรวจตรวจสอบว่า ร่างกายของคุณมีปัญหา สุขภาพอะไรบ้าง เพื่อที่คุณจะได้ไปสู่การรักษาที่ตรงจุด

2.ไม่หยุดมองหาแรงบันดาลใจ

          แน่นอนคุณรู้ดีว่า ทุกคนย่อมปรารถนาจะมีสุขภาพที่ดี แต่เพื่อเสริมกำลังใจในการทำภารกิจกู้สุขภาพ คุณอาจต้องหาตัวช่วยด้วยการมองหา คุณก็จำเป็นที่จะต้องมองหาเหตุผล หรือแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ เพื่อนำไปสู่จุดหมายว่าทำไปเพื่ออะไร นอกเหนือจากการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกของคุณให้ดูดี เช่น ในครอบครัวของคุณมีประวัติผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจหรือไม่ เพราะหากมีการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อาจเป็นหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคของคุณโดยไม่รู้ตัว หรือการกระทำของคุณอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ในเรื่องการออกกำลังกายโดยไม่รู้ตัวก็ได้

3.กำหนดตัวตน เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ

          ลองสำรวจดูว่า อะไรเป็นตัวการหรือปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางคุณจากการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปต่อวัน ,ความเคยชินกับการรับประทานขนมกรุบกรอบตอนกลางคืน หรือคุณออกกำลังกายน้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ เพราะหากคุณพบสาเหตุเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถวิเคราะห์ต้นตอปัญหา พร้อมลองหากิจกรรมอะไรที่น่าสนใจมาทำแทน เช่น เบื่อกับการออกกำลังในยิม ก็ลองหันมาเล่นเทนนิส หรือเต้นดูบ้าง

4.พักผ่อนให้เพียงพอ

          อย่างน้อยร่างกายควรได้รับการพักผ่อน 7-8 ชม. เพราะการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน เป็นการดึงพลังงานออกจากร่างกายของคุณโดยไม่รู้ตัว แถมยังทำให้คุณต้องหาตัวช่วย เพื่อฟื้นฟูสุขภาพของคุณในวันรุ่งขึ้นอีกต่างหาก และเพื่อให้ระบบการนอนหลับของคุณเป็นปกติ คุณควรจะเตรียมตัวเข้านอน และตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน แต่ถ้าคุณนอนไม่หลับ วิธีแก้ง่าย ๆ คือ ให้คุณเขียนระบายความในใจทั้งหมดออกมา เพราะมันจะช่วยให้หัวสมองของคุณปลอดโปร่งและนอนหลับไดง่ายขึ้น

5.รักษามันไว้ตลอดกาล

          การรักษาสุขภาพให้ดีและแข็งแรงอยู่เสมอ เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณยืนยาว ทางที่ดีคุณควรหาคำพูด หรือคติประจำใจเพื่อย้ำเตือนในการก้าวไปสู่จุดหมาย ที่สำคัญอย่าลืมจดหรือคัดลอก เพื่อวางไว้ในตำแหน่งที่คุณจะสังเกตเห็นมันได้ง่ายด้วยล่ะ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมรักษาสายสัมพันธ์กับบุคคลที่รักและหวังดีต่อคุณ เพราะบุคคลเหล่านี้จะให้ความรู้สึกที่อิ่มเอม และพลังงานในตัวคุณมากขึ้นเป็นกอง

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุขภาพดี บางทีก็ทำได้ง่าย ๆ


เคล็ดลับสุขภาพ



สุขภาพดี บางทีก็ทำได้ง่าย ๆ (Lisa)

          อยากมีสุขภาพดีใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องไปหาวิธีอะไรมากมาย เพียงทำตาม 11 เคล็ดลับง่าย ๆ ต่อไปนี้ดูเลย

1.กันแสงแดดด้วยสีสัน 

          การเลือกเสื้อผ้าอย่างชาญฉลาด อาจช่วยป้องกันเราจากมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งการวิจัยจากสเปนชี้ว่า เนื้อผ้าสีฟ้าและสีแดงจะให้การปกป้องจากรังสี UV ได้ดีกว่า เนื้อผ้าสีขาวและสีเหลือง นอกจากนี้ก็อย่าลืมสวมหมวก เพราะมะเร็งผิวหนังนั้นเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกแสงแดด และนักวิจัยจาก University of North Carolina พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังบนหนังศีรษะ หรือลำคอนั้น มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งบริเวณอื่นถึง 2 เท่า

แปรงฟัน

2.ดูแลเหงือกดี ๆ 

          สุขภาพในช่องปากอาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจมากกว่าที่คุณคิด งานวิจัยซึ่งเผยแพร่ในการประชุม American Association for The Advancement of Science ชี้ว่า แบคทีเรียที่พบในโรคเหงือกอักเสบนั้นอาจกระตุ้นให้เส้นเลือดอุดตัน และนำไปสู่หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ ซึ่งเราสามารถสังเกตโรคเหงือกได้หากมีเลือดออกบริเวณเหงือก หรือช่องว่างระหว่างฟัน หากปล่อยไว้การติดเชื้อจะไปทำลายกระดูกฟัน ทำให้ฟันผุกร่อนและจากเราไปก่อนวัยอันควร

3.ปิด "บีบี" 

          อย่างที่เราทราบกันดีว่า การนอนไม่พอนั้นอาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หรือแม้แต่น้ำหนักขึ้น และการใช้แบล็กเบอร์รี่ ก่อนเข้านอนก็อาจขวางทางเรากับการนอนหลับ 

          ดร.คริสเตน แอล. นัตสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอน จาก University of Chicago จึงแนะนำให้ปิดสมาร์ตโฟนทุกชนิดก่อนเข้านอนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง และเก็บแกตเจ็ตทุกอย่างให้พ้นระยะเอื้อมจากเตียง หันมาใช้นาฬิกาปลุกจริง ๆ แทนที่จะตั้งให้โทรศัพท์ปลุก (จะไม่ได้มีข้ออ้างวางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียงไงล่ะ)

4.ปล่อยความโกรธดีกว่าสะสมไว้ในใจ 

          บางทีสิ่งที่ร่างกาย และจิตใจของเราต้องการอาจจะเป็นโอกาสให้ได้ปลดปล่อยความโกรธบ้าง โดยนักวิจัยจาก Carnegie Mellon University พบว่าความโกรธเกรี้ยวอาจทำให้สมองปล่อยคอร์ติซอลน้อยลง ซึ่งคอร์ติซอลนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน กระดูกผุ และโรคหัวใจ 

          ดร.จูลี่ เค, นอเร็ม ผู้แต่งหนังสือเรื่อง The Positive Power of Negative Thinking ชี้ว่า สำหรับผู้หญิงแล้วเราอาจไม่ค่อยแสดงความโกรธออกมา เพราะตามประเพณี แล้วเราควรจะอ่อนโยนและอ่อนหวาน ดังนั้น แสดงออกบ้างเวลาหงุดหงิด แต่อย่ามากเกินไป เพราะอาจหันกลับมาทำร้ายตัวเองได้

5.ดูหนังตลก 

          ดร.เทอร์รี่ ออร์ลิก ผู้เขียน In Pursuit of Excellence ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุด ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก็คือ เด็ก ๆ ไม่ค่อยมีเรื่องกังวล แต่เราสามารถย้อนวัยของร่างกายได้ด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งนักวิจัยจาก Loma Linda University ยังพบว่า การหัวเราะจะช่วยลดฮอร์โมนแห่งความเครียด อย่างคอร์ติซอลและเอพิเนเฟอรีน ได้ถึง 39% และ 70% ตามลำดับ นอกจากนี้ การหัวเราะอาจทำให้เส้นเลือดที่ตีบตันขยายตัวถึง 22% มันจึงดีต่อหัวใจของเราด้วย

6.เดินวันละ 30 นาที 

          งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine ชี้ว่ากิจกรรมที่ง่ายมาก ๆ นี้ จะช่วยเพิ่มอายุขัย เฉลี่ยได้ถึง 1.3 ปี

7.เล่นอินเทอร์เน็ตอาจทำให้สมองแล่น 

          การช้อปปิ้งออนไลน์ของเราอาจออกดอกผลมากกว่าเสื้อผ้าสวย ๆ โดยการศึกษาจาก University of California Los Angeles พบว่าการท่องเว็บต่าง ๆ เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ อาจกระตุ้นสมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางการใช้เหตุผล โดย นพ.แกรี่ สมอลล์ จิตแพทย์ผู้เข้าร่วมการวิจัยชี้ว่า การใช้เวลาในโลกออนไลน์อาจทำให้เราตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เหมือนเราเข้าโรงยิมที่ผ่านไปสักพัก เราจะสามารถยกน้ำหนักได้มากขึ้นด้วยแรงน้อยลง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการอยู่หน้าจอตลอดเป็นเรื่องดี คุณควรจะพักบ่อย ๆ และเข้าสังคมกับมนุษย์คนอื่น ๆ บ้าง

ลดน้ำหนัก

8.คอยสังเกตตาชั่ง

          ถ้าคุณยังใส่ชุดตอน ม.ปลายได้ (อนุโลมให้ใช้ยางยืด) นี่แปลว่าร่างกายของคุณแข็งแรงในหลาย ๆ ทางเลยล่ะ เพราะการศึกษาจาก American Cancer Society เปิดเผยว่าหญิงสาวที่น้ำหนักขึ้นตั้งแต่ 10-15 กิโลกรัมขึ้นไป จากตอนอายุ 18 ปีจนถึงอายุ 40 ปีนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น ถ้าเทียบกับคนที่น้ำหนักขึ้นในสัดส่วนน้อยกว่า นี่เป็นเพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวพันโดยตรงกับระดับอินซูลิน และระดับเอสโตรเจนซึ่งเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมทั้งคู่ หากรู้ตัวว่าชุด ม.ปลายคับเกินไปแล้ว การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักปัจจุบันก็อาจให้ผลไม่น่าเชื่อได้แล้วล่ะ

9.ร้องเพลงเพื่อภูมิคุ้มกันที่ดี 

          นักวิจัยจาก University of Frankfurt ชี้ว่า การร้องเพลงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินเข้าไปในระบบ และทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและแจ่มใสขึ้นพร้อม ๆ กับให้ปอดได้ออกกำลัง

10.ขี้เกียจ เพื่อหายใจสะดวก 

          ข่าวแรกจากแดนน้ำชาชี้ว่า การไม่เก็บที่นอนอาจช่วยบรรเทาภูมิแพ้ (เพราะเตียงที่คลุมเป็นอย่างดีเป็นเหมือนฟาร์มเพาะเชื้อโรค) ข่าวที่สอง ดร.เคนเน็ธ โรเซนแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและ Internal Medicine เปิดเผยว่า บ้านที่สะอาดเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพนักร กนิดหน่อยยังพอโอ.เค. เพราะการฆ่าเชื้อโรคอาจไปฆ่าเชื้อที่ดีด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิดอาจมีสารเคมีซึ่งกระตุ้นอาการหอบหืด 


เคล็ดลับสุขภาพ

11.นั่งชิลล์ริมหาด 

          ชอบนั่งสบาย ๆ ริมหาดใช่มั้ยล่ะ เชิญเลย! ดร.นามนิ โกเอล ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก University of Pennsylvania เปิดเผยว่า คลื่น ลม และแสงอาทิตย์อาจทำให้โมเลกุลในอากาศแตกตัวและเกิดประจุลบ ซึ่งทำให้อารมณ์เราดีขึ้นได้ แถมประจุลบพวกนี้ ยังสามารถเกาะกับฝุ่นในอากาศและถ่วงน้ำหนักพวกมัน จนที่เหลืออยู่ให้เราสูดคืออากาศบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยออกซิเจน หากไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล ก็ขอแค่เปิดหน้าต่างสูดอากาศข้างนอกบ้างแค่นี้ก็ยิ้มออกแล้ว

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ


เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ


สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

   1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

   2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

   3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

   4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

   5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

   6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

   7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

   8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

   9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

   10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

   11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

   12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

   13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

   14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

   15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

   16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

   17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

   18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เบาหวาน VS ดัชนีน้ำตาลในอาหาร


ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยมักจะได้รับคำแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดความพิการของจอรับภาพทำให้ตามัว เกิดต้อกระจกหรือต้อหิน ไตวาย หรืออาจพบความพิการของประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการชา ปลายมือปลายเท้า ทำให้เมื่อเกิดแผลอักเสบอาจไม่รู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะที่เท้า ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น การควบคุมชนิดและปริมาณ ของอาหารคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้ง ก็จะช่วยให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
อาหารคาร์โบไฮเดรตมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร 

เมื่อคนเรารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ขนมหวาน หรือผลไม้ คาร์โบไฮเดรตในอาหารเหล่านี้ จะถูกย่อยโดยน้ำย่อยในทางเดินอาหาร จนได้เป็นกลูโคส ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็ก สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อนำอาหารแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบกัน โดยให้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเท่ากัน ปรากฎว่าอาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อย และถูกดูดซึมเข้าร่างกายในอัตราที่แตกต่างกัน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นต่างกัน ได้มีการศึกษาหาปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 50 กรัม เปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารมาตรฐาน (คือกลูโคสหรือขนมปัง) ค่าที่ได้นี้เรียกว่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ค่าดัชนีน้ำตาลของกลูโคสจะมีค่าเท่ากับ 100 ดังนั้น ถ้าอาหารใดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 100 แสดงว่าคาร์โบไฮเดรตในอาหารนั้น ถูกดูดซึมได้น้อยกว่าอาหารมาตรฐาน ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารจะแบ่งเป็น 3 ระดับ 
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ   
( ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 55)
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง   
( ค่าดัชนีน้ำตาล 55 - 70)
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง  
( ค่าดัชนีน้ำตาลมากกว่า 70)
ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ขึ้นกับ...
ชนิดของคาร์โบไฮเดรต   ที่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
กระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การหุงต้ม ทำให้อาหารพวกแป้งถูกย่อยและดูดซึมได้ดีขึ้น การแปรรูปอาหารมีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลของอาหาร เนื่องจากการให้ความร้อนกับแป้งที่มีน้ำอยู่ด้วย แป้งจะดูดซับน้ำและพองตัว ทำให้น้ำย่อยสามารถย่อยแป้งให้เป็นกลูโคสได้เร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงกว่าการรับประทานแป้งที่ไม่ผ่านความร้อน การบดอาหาร เช่น ข้าวที่ผ่านการบดจะถูกย่อยและถูกดูดซึมได้เร็วกว่าข้าวที่ไม่ผ่านการบด
ส่วนประกอบในอาหาร เช่น การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตพร้อมกับอาหารที่มีไขมันและโปรตีนจะทำให้ การดูดซึมกลูโคสเข้ากระแสโลหิตช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นช้าลง หรือการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงๆ เช่น การรับประทานข้าวซ้อมมือ หรือการรับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น จะชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด
ปัจจุบันพบว่าการรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งบางชนิดได้ การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงขึ้น ทำให้ความต้องการอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนำกลูโคสเข้าไปเผาผลาญในเซลล์เพิ่มขึ้น การรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และใน ผู้ที่เป็นเบาหวาน การรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แทนคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำได้ง่ายๆ โดยการรับประทานธัญพืชหรือข้าวซ้อมมือแทนแป้งหรือข้าวที่ขัดสี

ดังนั้น ผลจากการที่รับประทานอาหาร ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก คาร์โบไฮเดรตในอาหาร จะถูกย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว มีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้กลูโคสถูกนำเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงาน แต่หลังจากการรับประทานอาหารไปแล้ว 2-4 ชั่วโมง ปริมาณอาหารที่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหารลดลง แต่ฤทธิ์ของอินซูลินยังคงอยู่ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมาก จนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และทำให้รู้สึกอยากอาหาร ส่วนคนที่รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ระดับน้ำตาลในเลือดยังคงอยู่ในระดับปกติ หลังจากการรับประทานอาหาร 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยกระตุ้นการสลายกลัยโคเจนซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จึงมีผลให้ระดับกรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ

การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ก็จะสามารถควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ในขณะที่อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงจะทำให้อยากอาหารมากขึ้น อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด
เพื่อสุขภาพที่ดี เราจึงควรหันมาเลือกรับประทาน อาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ถ้าจะเลือกอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ก็ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เลือกรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุด เช่น รับประทานข้าวซ้อมมือแทนข้าวที่ขัดสี หรือขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว รับประทานผลไม้ทั้งผล เช่น ส้ม แทนที่จะรับประทานน้ำส้มคั้น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะช่วยลดโอกาสเสี่ยง ของการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคอ้วนได้ด้วย
อย่างไรก็ตามค่าดัชนีน้ำตาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางเลือกในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี แต่หลักสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือการรับประทานอาหารตรงเวลา รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย จำกัดน้ำตาลและของหวาน ลดอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักให้มากรับประทานผลไม้เป็นประจำ และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว

อาหาร เกี่ยวข้องกับ โรคภัยไข้เจ็บ ได้อย่างไร



เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารที่เรารับประทานทุกวันนี้ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า อาหารบางชนิด ก็เกิดโทษอย่างที่ เราคาดไม่ถึงเหมือนกัน เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในคนสูงอายุเท่านั้น ปัจจุบันเราพบภาวะไขมันสูง และมีโรคเส้นเลือดอุดตัน ในคนหนุ่มสาวได้เช่นกัน
เนื่องจากคนไทยเรายุคนี้ แนวโน้มของการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันสูง จะมากขึ้นจากอิทธิพลของชาวตะวันตก จึงพบว่าคนไทยเรามี อัตราเสียชีวิตจาก โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันเพิ่มขึ้นไปด้วย
นอกจากนั้น ความอ้วนและการชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดเป็นประจำ ก็เป็นปัจจัยเสริมของ การเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
เนื่องจากปัจจุบัน เรามีการศึกษาเรื่องไขมัน และโทษของมันมากขึ้น จึงอยากให้มาทำความรู้จักกับไขมันในเลือด ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม (เพื่อสะดวกในการจำและนำไปใช้) ดังนี้
 
1.
ไขมันเลว (ถ้ามีปริมาณมากจะเป็นโทษต่อร่างกาย) ได้แก่ โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, LDL (ต่อไปถ้าแพทย์ บอกว่า LDL ให้ฟัง คงเข้าใจได้ดีขึ้น) ไขมันอิ่มตัว (ในฉลากอาหาร, ฉลากข้างขวดน้ำมันพืชบางยี่ห้อ จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า SATURATED FAT. นั่นหมายถึงไขมันอิ่มตัวนั่นเอง) นอกจากนั้นก็มีไขมัน TFA (ไม่ต้องจำชื่อก็ได้ แต่ให้ทราบว่า, ถ้าไขมันที่ดี ของเราผ่านขบวนการ ทางอุตสาหกรรม หรือทางเคมี ก็จะทำให้เปลี่ยนเป็นไขมันเลว หรือ TFA ได้ เช่น ผ่านความร้อนสูงมาก เช่น การกลั่นน้ำมันพืช หรือเติมไฮโดรเจน ให้อาหารกรอบ เช่น คุ๊กกี้ขนมกรอบทั้งหลาย เป็นต้น)
   
 
2.
ไขมันดี เช่น HDL (คงได้ยินคุณหมอพูดกันบ่อยๆ) ไขมันไม่อิ่มตัว (UNSATURATED FAT) (ซึ่งรวมถึงไขมัน โอเมก้า 3 ด้วย), เลซิติน พวกนี้จัดเป็นไขมันดี ซึ่งจะช่วยป้องกัน โรคเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจ และทำให้มีสุขภาพดี
เราควรรู้ค่าปกติของไขมันในเลือดบางตัว ที่เราสามารถตรวจวัดได้ ดังนี้
 
1.
โคเลสเตอรอลรวม (total cholesterol) เป็น Cholesterol ทุกชนิดรวมกันค่าปกติ ไม่ควรเกิน 200 mg ถ้าสูง ต้องงด อาหารพวก ที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง, ไขมันสัตว์, เครื่องในสัตว์ (ถ้าอยากทราบว่าอาหารอะไรมี โคเลสเตอรอลประมาณเท่าไร ให้หาอ่านในหนังสือ เกี่ยวกับโภชนาการทั่วๆ ไปได้)
 
2.
โคเลสเตอรอล HDL. ซึ่งเป็นไขมันดี ค่ายิ่งสูงยิ่งดี, ถ้าต่ำกว่า 35 mg ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจ การสูบ บุหรี่, ภาวะอ้วน, ภาวะขาดอาหาร จะทำให้ HDL ต่ำลงได้ ส่วนการออกกำลังกายจะทำให้ HDL เพิ่มขึ้น การดื่มไวน์แดงจำนวนเล็กน้อย เป็นประจำพบว่าเพิ่มไขมัน HDL ได้ถึง 5-10%
 
3.
โคเลสเตอรอล LDL เป็นไขมันเลว ปกติไม่เกิน 130 mg ถ้าเกิน 160 mg จะมีความเสี่ยงต่อ โรคหัวใจเพิ่มขึ้น การควบคุมว่า จะเข้มงวดมากน้อยเพียงไร, ต้องกินยารักษาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีโรคอย่างอื่น ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่
 
4.
ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันเลวอีกชนิดหนึ่ง ถ้าสูงมากจะเกิดตับอ่อนอักเสบได้ หรือเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจได้ ค่าปกติไม่ควรเกิน 200 mg พบมากในอาหารพวกแป้ง, ของหวาน
ส่วนไขมันอิ่มตัวหรือไขมันไม่อิ่มตัวนั้น เราตรวจเลือดวัดออกเป็นตัวเลขไม่ได้ ต้องควบคุมปริมาณที่กินเข้าไป โดยต้องทราบว่า ควรกิน ไขมันพวกนี้มากน้อยแค่ไหน
ไขมันอิ่มตัวนั้น ่ควรกินมากกว่า 10% ของอาหารในแต่ละวัน ในฉลากอาหารมักจะเขียน เปอร์เซ็นต์ของไขมันอิ่มตัว ว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ ให้เราทราบ ไขมันอิ่มตัวพบมากในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก, เบคอน, นม, เนย, นอกนั้นก็จะพบในมาการีน, กะทิ, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันปาล์ม ไขมันอิ่มตัวนี้ จะไปแย่งที่ไขมันที่จำเป็นของร่างกาย ทำให้เราเจ็บป่วยได้
ไขมันไม่อิ่มตัว จะมีหลายชนิดที่สำคัญ และเรารู้จักกันดี คือ ไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ซึ่งทั้ง 2 นี้ พบมากในน้ำมันปลา (คนละอย่าง กับน้ำมันตับปลา) กรดไขมันโอเมก้า 3 นี้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันรูปอื่น ซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมน ที่ทำให้เราเกิดความสบาย ป้องกันการบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบ ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน เสริมภูมิต้านทาน, ลดความดัน ปลาที่มีน้ำมันปลาสูงนั้น จะเป็น ปลาที่คาว, ส่วนที่มีน้ำมันปลามาก คือ ส่วนหัวปลา, พุงปลา, หนังปลา
การปรุงอาหารด้วยการทอดปลา จะเสียน้ำมันปลาไปกับน้ำมันที่ทอดได้ การนึ่ง ต้ม จะดีกว่าการย่าง การกินปลา จะได้โคเลสเตอรอล ไปด้วย ฉะนั้นควรกินปลาอย่างน้อย 1 ขีด ต่อ 1-2 สัปดาห์
นอกเหนือจากอาหารดังกล่าวมาแล้ว อาหารพวกเส้นใย ละลายง่าย เช่น ข้าวโอ๊ต, ถั่วเหลือง, โปรตีนเกษตร, เต้าหู้, ข้าวกล้อง, มะนาว, ส้ม, แครอท พวกนี้จะช่วยลดไขมัเลวได้
ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่มีโทษ ก็จะทำให้สุขภาพดี, ลดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ ลงได้ค่ะ